เคยไหม…เวลาคุยกับเพื่อนเรื่องออกกำลังกาย แล้วมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า “ต้องออกทุกวันถึงจะฟิต!” หรือ “วิ่งเยอะขาจะใหญ่” จนเราเริ่มไม่แน่ใจว่าสิ่งไหนคือข้อเท็จจริง สิ่งไหนเป็นแค่ความเชื่อ? ในยุคที่ข้อมูลไหลมาเร็ว เราอาจหลงเชื่อสิ่งที่ได้ยินกันต่อๆ มาแบบไม่รู้ตัว แต่ถ้าคุณอยากออกกำลังกายให้ได้ผลดีจริง ต้องแยกแยะระหว่าง “เรื่องจริง” กับ “เรื่องหลอก” ให้ถูกต้อง! บทความนี้จะพาคุณมาคลายข้อสงสัยกับ 7 ความเชื่อยอดฮิตของคนรักสุขภาพ พร้อมไขข้อเท็จจริงแบบไม่มีกั๊ก มาอัปเดตความรู้ใหม่ๆ เพื่อสร้างสุขภาพที่ดีและเป้าหมายหุ่นในฝันให้สำเร็จไปพร้อมกัน!
ออกกำลังกายทุกวัน = สุขภาพดีขึ้นแน่นอน
หลายคนเชื่อว่าต้องออกกำลังกายทุกวันถึงจะเห็นผลเร็วและมีสุขภาพดีขึ้น แต่จริงๆ แล้ว ร่างกายของเราต้องการ "เวลาพักฟื้น" เช่นเดียวกับกล้ามเนื้อที่ต้องมีวันพักเพื่อซ่อมแซมและฟื้นฟู การออกกำลังกายหนักต่อเนื่องทุกวันอาจทำให้ร่างกายล้า อ่อนเพลีย หรือเสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้ ทางที่ดีควรออกกำลังกายสลับกับวันพัก เช่น 3-5 วันต่อสัปดาห์ และเลือกสลับชนิดของการออกกำลังกาย เช่น วันหนึ่งเล่นเวท วันถัดไปคาร์ดิโอ หรือเลือกกิจกรรมเบาๆ เช่น โยคะ เดินช้าๆ ในวันพัก เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูเต็มที่ การออกกำลังกายที่เหมาะสมต้องฟังเสียงร่างกายของตัวเอง ไม่ฝืนเกินไป ผลลัพธ์จะยั่งยืนกว่าการออกแบบหักโหมทุกวัน
ออกกำลังกายตอนเช้าดีกว่าตอนเย็น
เชื่อกันว่าการออกกำลังกายตอนเช้าได้ผลดีกว่าตอนเย็น จริงหรือไม่? ความจริงแล้ว "ช่วงเวลา" ที่ดีที่สุดคือช่วงที่เราสะดวกและร่างกายพร้อมมากที่สุด สำหรับบางคน เช้าเป็นช่วงเวลาที่สดชื่น เหมาะกับการเริ่มต้นวันใหม่ด้วยความกระปรี้กระเปร่า แต่สำหรับบางคนที่ต้องทำงานหรือเรียนตอนเช้า ช่วงเย็นก็เป็นช่วงที่เหมาะสมเพราะได้คลายเครียดและช่วยให้นอนหลับดีขึ้น สิ่งสำคัญคือต้องเลือกช่วงเวลาที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมของตัวเอง ไม่ว่าจะเช้าหรือเย็น ผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอและวินัยในการออกกำลังกายมากกว่าช่วงเวลา ดังนั้น จงเลือกเวลาที่คุณทำได้ต่อเนื่อง จะดีที่สุด!
ยืดกล้ามเนื้อก่อนออกกำลังกายป้องกันการบาดเจ็บได้
หลายคนเข้าใจว่า การยืดกล้ามเนื้อ (Stretching) ก่อนออกกำลังกาย จะช่วยป้องกันการบาดเจ็บได้ ซึ่งความจริง การยืดกล้ามเนื้อเป็นเรื่องสำคัญ แต่การยืดที่ถูกต้องควรเป็นแบบ Dynamic Stretching หรือการวอร์มอัพที่เคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อเตรียมกล้ามเนื้อและระบบไหลเวียนเลือดก่อนเริ่มออกกำลังกาย
การยืดกล้ามเนื้อแบบ Static Stretching (ยืดค้าง) ควรทำหลังออกกำลังกายเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อและลดอาการตึงตัว มากกว่าการใช้ก่อนออกกำลังกายโดยตรง เพราะหากยืดกล้ามเนื้อค้างนานๆ ก่อนออกกำลังกาย อาจลดความแข็งแรงและสมรรถภาพในการเคลื่อนไหว ดังนั้น ควรเน้นวอร์มอัพด้วยการเคลื่อนไหว เช่น เดินเร็ว หมุนแขนหมุนขา หรือวิ่งเบาๆ แล้วค่อยยืดค้างหลังออกกำลังกาย
ยิ่งเจ็บกล้ามเนื้อมาก = ออกกำลังกายได้ผล
หลายคนชอบพูดว่า “ถ้าตื่นมาแล้วเจ็บกล้ามเนื้อแปลว่าออกกำลังกายได้ผล!” แท้จริงแล้วความรู้สึกเจ็บกล้ามเนื้อ หรือที่เรียกว่า DOMS (Delayed Onset Muscle Soreness) คืออาการที่เกิดขึ้นหลังกล้ามเนื้อถูกใช้งานหนักหรือรูปแบบใหม่ที่ร่างกายยังไม่คุ้นชิน แต่การที่กล้ามเนื้อเจ็บมาก ไม่ได้แปลว่ากำลังออกกำลังกายถูกวิธีเสมอไป
อาการเจ็บกล้ามเนื้อเป็นเพียงสัญญาณว่าร่างกายได้รับแรงกระตุ้นใหม่ แต่หากรู้สึกเจ็บจนขยับไม่ไหว หรือเจ็บติดต่อกันหลายวัน อาจเป็นสัญญาณของการฝืนร่างกายเกินไปและควรพักฟื้นให้หายสนิทก่อนกลับไปออกกำลังกายอีกครั้ง ความสำเร็จของการออกกำลังกายคือความสม่ำเสมอและเห็นพัฒนาการ ไม่ใช่ความเจ็บปวด
วิ่งทุกวันทำให้ขาใหญ่
ความเชื่อนี้สร้างความกังวลใจให้กับสาวๆ หลายคน ความจริงคือ การวิ่งช่วยเผาผลาญไขมันทั่วร่างกายและเสริมสร้างกล้ามเนื้อขาให้แข็งแรง โดยปกติแล้วการวิ่งจะช่วยกระชับกล้ามเนื้อขา ไม่ได้ทำให้ขาใหญ่ขึ้นอย่างที่หลายคนคิด
ขนาดของขาส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับพันธุกรรม การกินอาหาร และรูปแบบการออกกำลังกายมากกว่า หากกังวลเรื่องขาใหญ่ ลองสลับการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอกับเวทเทรนนิ่ง หรือเลือกใช้เครื่องออกกำลังกายที่ออกแบบมาเพื่อความกระชับเฉพาะจุดจาก Johnson Health Tech รับรองว่าจะได้ขาที่สวยสมส่วนและแข็งแรงแน่นแน
เหงื่อออกมาก = เผาผลาญเยอะ
เห็นเหงื่อไหลเป็นน้ำ คิดว่าเผาผลาญไขมันเยอะ? ความจริงแล้ว “ปริมาณเหงื่อ” ไม่ได้บ่งบอกว่าเผาผลาญพลังงานได้มากน้อยแค่ไหน เหงื่อออกเกิดจากร่างกายระบายความร้อน ไม่เกี่ยวกับการเผาผลาญไขมันโดยตรง บางคนออกกำลังกายน้อยแต่เหงื่อออกเยอะเพราะอากาศร้อนหรือร่างกายขับเหงื่อได้ดี ขณะที่บางคนออกแรงเยอะแต่เหงื่อออกน้อย
สิ่งที่บอกการเผาผลาญพลังงานได้แม่นยำกว่าคือ “ความหนักของการออกกำลังกาย” เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ ระยะเวลา และชนิดของกิจกรรมที่ทำ ดังนั้นไม่ต้องกังวลถ้าออกกำลังกายแล้วเหงื่อไม่มาก เพราะผลลัพธ์ที่แท้จริงอยู่ที่การออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องและควบคุมอาหารร่วมด้วย
ใครๆ ก็เลือกใช้เครื่องออกกำลังกาย จาก Johnson Health Tech
การออกกำลังกายอย่างถูกวิธีและต่อเนื่องเป็นกุญแจสำคัญของการมีสุขภาพดี แต่ “เครื่องออกกำลังกาย” ที่ดี ก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน เพราะช่วยให้คุณออกกำลังกายได้อย่างปลอดภัย เห็นผลลัพธ์ชัดเจน และสนุกกับทุกการเคลื่อนไหว Johnson Health Tech คือแบรนด์ผู้นำด้านอุปกรณ์ออกกำลังกายระดับโลก ที่ได้รับความไว้วางใจจากทั้งฟิตเนสชั้นนำ โรงแรม รีสอร์ท และผู้ใช้งานตามบ้าน ด้วยนวัตกรรมและคุณภาพที่เหนือกว่า
จุดเด่นของเครื่องออกกำลังกาย Johnson Health Tech คือการออกแบบที่ใส่ใจทั้งด้าน “ความปลอดภัย” และ “ความสะดวกสบาย” มีให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นลู่วิ่งไฟฟ้า จักรยานออกกำลังกาย เครื่องเดินวงรี เครื่องเวทเทรนนิ่ง ไปจนถึงอุปกรณ์ฟิตเนสขนาดเล็ก เหมาะกับทุกพื้นที่และทุกไลฟ์สไตล์ ตัวเครื่องผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง แข็งแรง ทนทาน ใช้งานง่าย แม้แต่ผู้เริ่มต้นก็สามารถเริ่มต้นออกกำลังกายได้ทันที
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพ แทร็กผลลัพธ์ และปรับระดับความหนักเบาให้เหมาะกับแต่ละบุคคล เพิ่มความสนุกและความท้าทายในการออกกำลังกายได้ทุกวัน ไม่ว่าคุณจะตั้งเป้าเพื่อสุขภาพที่ดี รูปร่างที่กระชับ หรือฝึกสมรรถภาพสำหรับการแข่งขัน Johnson Health Tech ก็พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการ
เพราะสุขภาพดี เริ่มต้นที่การเลือกเครื่องออกกำลังกายที่เหมาะสม และไว้วางใจได้เหมือนผู้ใช้งานนับล้านทั่วโลกที่เลือก Johnson Health Tech เป็นผู้ช่วยดูแลสุขภาพในทุกวันของชีวิต สนใจสั่งซื้อเครื่องออกกำลังกายออนไลน์ คลิกเลย!! ติดต่อสอบถามรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติม โทรศัพท์: 02-751-9360 หรือ 090-090-6797 อีเมล jhtthailand@johnsonfitness.com
ติดตามข้อมูลข่าวสาร และโปรโมชั่นเด็ดจาก จาก Johnson Health Tech Thailand ได้ที่
Facebook: Johnson Health Tech Thailand
Instagram johnsonfitnessth
Line: Johnson Health TH
YouTube: Johnson Health Tech Thailand